วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จำเป็นไหมนี่ที่ต้องมีรางน้ำฝน

ก่อนหน้านี้ก็ไม่เข้าว่า ทำไมต้องติดรางน้ำฝนล่ะ พอเข้าหน้าฝนเท่านั้นล่ะถึงรู้ว่า ไม่ได้แล้ว ฉันอยู่นิ่งไม่ได้แล้ว เพราะฝนตกหนักน้ำก็สาดเข้าบ้าน ปัญหาตามมาก็คือความชื้น ยิ่งบ้านไม้อย่างบ้านเราแล้วล่ะก็ สิ่งที่ตามมาก็คือ กระดานไม้เริ่มจะบวมอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังมีของแถมคือ เจ้า ป.ปลวก อีกต่างหาก เลยต้องรีบหาช่างมาติดรางน้ำฝนโดยด่วน สนนราคาก็ตกเมตรละ 300 บาท เป็นแบบสังกะสีธรรมดา



ตอน แรกจะเอาแบบสแตลเลส ดูมันนี่ในกระเป๋าชักไม่ไหว ราคาต่างกันสองเท่ากว่าแนะ (ราคาสแตนเลสเมตรละ 1000 บาท) ถามช่างเค้าบอกว่าถ้างบน้อยเอาสังกะสีก็พออยู่ได้เกินสิบปีอ่ะ ช่วงนี้สภาพเศรษฐกิจแย่ประหยัดไว้ก่อนดีกว่าเรา



ก็ ตกลงกับช่างเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากช่างทุนน้อยขอมัดจำไว้ก่อน 2000 บาท นัดมาทำในวันถัดไป พอเช้าอีกวันมาถึงเลยเวลานัดที่ตกลงกันไว้ ก็เลยโทรไปตามช่างไม่รับโทรศัพท์ เริ่มใจเสียแล้ว เราก็ไม่รู้จักช่างคนนี้ซะด้วย แต่ยังอุ่นใจที่ลุงรู้จักบ้านเค้า สักพักก็โทรไปใหม่ช่างบอกว่า ผมมาต่างจังหวัด เดี๋ยวไปทำให้อีกสองวัน ซะงั้น งงไปเลย ไม่บอกไม่กล่าว แต่ก็ไม่เป็นไรเราคนบ้านเดียวกัน ก็รออีกสองวันผ่านไป ช่างก็มาติดตั้งให้เป็นที่เรียบร้อย แต่ตอนที่ช่างมาติดเราไม่ได้อยู่ดูด้วยหรอก กลับมากรุงเทพฯ เสียก่อน



ใน ใจก็คิดว่า เอานะมันถูกอ่ะนะ ก็คงได้ตามสภาพอ่ะแหละ แต่ที่ไหนได้ พอกลับมาบ้านอีกครั้ง งานดีกว่าที่เราคิดไว้เสียอีก เก็บให้เรียบร้อยเลย ถึงแม้จะเป็นสังกะสีก็ดูเข้าท่าดี ทำไป 17 เมตร ตกลงกันไว้ที่ 5000 บาท ก็เป็นที่พอใจ ค่อยโล่งใจหน่อย



และ ด้วยความที่เตี่ยเราเป็นเจ้าพ่อไอเดียอยู่แล้ว ก็เลยดัดแปลงจากที่ต้องปล่อยน้ำทิ้งโดยใช้กรวยต่อสายยางลงมา ก็เปลี่ยนเป็นใช้ท่อพีวีซีต่อลงมา แล้วก็ปล่อยน้ำลงท่อใหญ่ที่ฝั่งอยู่ใต้ดินแทน ก็ดูเรียบร้อยดี และที่สำคัญน้ำไม่ขังด้วยล่ะ จะว่าไปแล้วการทำบ้านหนึ่งหลังใช่ว่ามันจะจบลงง่ายๆ สารพัดเลยล่ะเดี๋ยวต่อนั่นเติมนี่ ป้าก็ร่ำๆ จะเติมหลังคาหลังบ้านอีกล่ะ แต่ก็ดีนะทำนั่นเติมนี่ก็ดี เราจะได้มีเรื่องเขียนได้อีกหลายตอนเลยล่ะ หุหุ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น